สอนวิธีการตั้งค่า Find my iPhone/iPad

📱 วิธีติดตาม iPhone หากทำหาย (Find My iPhone)

หากคุณเพิ่งซื้อ iPhone มาใหม่ ควรตั้งค่า ค้นหาของฉัน (Find My) ทันที เพื่อที่คุณจะสามารถค้นหาตำแหน่งอุปกรณ์ได้หากทำหล่นหรือถูกขโมย


⚙️ วิธีเปิดใช้งาน ค้นหาของฉัน

  1. 🔧 เปิด การตั้งค่า (Settings) บน iPhone

  2. 👤 แตะที่ ชื่อบัญชี Apple ID (iCloud และการตั้งค่าอื่นๆ)

  3. 🔍 เลือก ค้นหาของฉัน (Find My)

  4. 📲 เปิด ค้นหา iPhone ของฉัน

  5. 🌐 เปิด เครือข่ายค้นหาของฉัน (Find My network) – ช่วยให้ค้นหา iPhone ได้ แม้ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

  6. 📍 เปิด ส่งตำแหน่งที่ตั้งล่าสุด (Send Last Location) – ระบบจะส่งตำแหน่งล่าสุดอัตโนมัติเมื่อแบตใกล้หมด


🗺️ วิธีติดตาม iPhone เมื่อทำหาย

  1. 🌍 ไปที่ 👉 iCloud Find My iPhone

  2. 🔑 แตะที่ Sign in

  3. ✉️ กรอก อีเมล Apple ID ที่ใช้งาน

  4. 🔒 กรอกรหัสผ่าน

หลังจากเข้าสู่ระบบ คุณจะเห็น แผนที่ แสดงตำแหน่งล่าสุดของ iPhone และหากเครื่องยังออนไลน์ จะสามารถเห็นตำแหน่งปัจจุบันได้แบบเรียลไทม์


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

คุณยังสามารถสั่งให้ iPhone ส่งเสียง 🔊 เพื่อตามหาใกล้ๆ, เปิดโหมดสูญหาย 🔐 หรือแม้กระทั่งลบข้อมูลทั้งหมดจากระยะไกลเพื่อความปลอดภัย 

📱 How to Track a Lost iPhone with Find My iPhone

If you’ve just bought an iPhone, it’s highly recommended to set up the Find My feature. This way, you can easily locate your device if it’s ever lost or stolen.


⚙️ Setting Up Find My iPhone

  1. 🔧 Open Settings on your iPhone.

  2. 👤 Tap your Apple ID (your name) at the top — this includes iCloud and other settings.

  3. 🔍 Select Find My.

  4. 📲 Turn on Find My iPhone.

  5. 🌐 Enable Find My network — this allows you to locate your iPhone even when it’s offline.

  6. 📍 Turn on Send Last Location so your iPhone automatically sends its last known location when the battery is low.


🗺️ How to Locate a Lost iPhone

  1. 🌍 Go to 👉 iCloud Find My iPhone.

  2. 🔑 Tap Sign In.

  3. ✉️ Enter your Apple ID email.

  4. 🔒 Enter your password.

After logging in, you’ll see a map displaying your iPhone’s last known location — and if it’s online, the current location in real time.


Pro Tip:
You can also play a sound to help locate your iPhone nearby, mark it as lost, or remotely erase your data for security.




วิธีติดตั้งโปรแกรม OBS Studio เวอร์ชันล่าสุด (สำหรับมือใหม่)

 

วิธีติดตั้งโปรแกรม OBS Studio เวอร์ชันล่าสุด (สำหรับมือใหม่)

หากคุณต้องการ ถ่ายทอดสด (Live Streaming) หรือ อัดวิดีโอหน้าจอ คุณภาพสูง โปรแกรม OBS Studio คือหนึ่งในตัวเลือกที่ฟรีและดีที่สุด รองรับทั้ง Windows, macOS และ Linux โดยไม่มีลายน้ำหรือข้อจำกัด

จากการใช้งานส่วนตัวของแอดมิน ทุกวันนี้เท่าที่ลองใช้งาน คอมที่ติดตั้งต้องมีสเปกดีๆ และเน็ตบ้านสัญญาณดีๆ สามารถใช้ในการสอนสด หรือขายสินค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดี โดยแนะนำให้ ใช้กับ YOUTUBE หรือ FACEBOOK 


ขั้นตอนการติดตั้ง OBS Studio

1. ดาวน์โหลดโปรแกรม

  • เข้าเว็บไซต์ทางการของ OBS Studio ที่
    https://obsproject.com

  • คลิกที่ปุ่มดาวน์โหลดตามระบบปฏิบัติการของคุณ เช่น

    • Windows

    • macOS

    • Linux

2. ติดตั้งโปรแกรม

  • เปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา (เช่น .exe บน Windows)

  • คลิก “Next” ไปเรื่อย ๆ และเลือก “Install” เพื่อเริ่มติดตั้ง

  • เมื่อเสร็จแล้ว คลิก “Finish” เพื่อเปิดโปรแกรม

3. ตั้งค่าครั้งแรก (Auto-Configuration Wizard)

  • OBS จะถามว่าคุณต้องการใช้โปรแกรมเพื่อ

    • ถ่ายทอดสด (Streaming)

    • บันทึกวิดีโอ (Recording)

  • เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน แล้ว OBS จะตั้งค่าอัตโนมัติให้เหมาะสมกับสเปกเครื่องของคุณ


การใช้งานเบื้องต้น

เพิ่มแหล่งภาพ (Sources)

  1. คลิกปุ่ม + ใต้แถบ Sources

  2. เลือกประเภท เช่น

    • Display Capture: แสดงทั้งหน้าจอ

    • Window Capture: จับเฉพาะโปรแกรม

    • Video Capture Device: กล้องเว็บแคม

  3. ปรับขนาดและตำแหน่งในหน้าจอ Preview

การเชื่อมต่อกับ Facebook หรือ YouTube

  1. ไปที่ Settings > Stream

  2. เลือกบริการที่ต้องการ เช่น Facebook, YouTube

  3. วาง Stream Key ที่ได้จากบัญชีของคุณ

  4. คลิก “Start Streaming” เพื่อเริ่มถ่ายทอดสด


สรุป

OBS Studio เป็นเครื่องมือที่ฟรี ใช้งานง่าย และมืออาชีพเลือกใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในงาน Live สด เกม, สอนออนไลน์ หรือทำวิดีโอ YouTube หากคุณกำลังมองหาโปรแกรมดี ๆ ไม่กินสเปกมาก OBS Studio คือตัวเลือกที่คุณควรลอง

✅ ดาวน์โหลดฟรี: https://obsproject.com



 

รีวิว TeamViewer ปี 2025 พร้อมเปรียบเทียบ AnyDesk และ Chrome Remote – โปรแกรมควบคุมคอมที่ดีที่สุดคือใคร?

 

ทำไม TeamViewer ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในปี 2025?

ในโลกที่การทำงานระยะไกล (Remote Work) และการสนับสนุนด้านเทคนิคจากระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน TeamViewer ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ได้จากระยะไกลอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการ แก้ไขปัญหาทางเทคนิค, ส่งไฟล์ข้ามเครื่อง, หรือแม้แต่การเข้าถึงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่บ้านขณะเดินทาง

ในปี 2025 นี้ ความต้องการใช้งานโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์จากระยะไกลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในองค์กรที่เน้นความยืดหยุ่นในการทำงาน การสนับสนุนลูกค้าอย่างรวดเร็ว และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรได้จากทุกที่ทุกเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ TeamViewer สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน

นอกจากความง่ายในการใช้งานแล้ว TeamViewer ยังโดดเด่นในด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล, ความเร็วในการเชื่อมต่อ, และ การรองรับอุปกรณ์หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Windows, macOS, Linux, iOS และ Android จึงไม่แปลกใจที่ยังคงเป็นเครื่องมือหลักของทั้งผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรระดับมืออาชีพทั่วโลก


✅ คุณสมบัติเด่นของ TeamViewer (เวอร์ชันปี 2025)

  1. การควบคุมระยะไกลแบบเรียลไทม์ (Remote Control)

    • เข้าถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางได้ทันที ราวกับนั่งอยู่หน้าจอจริง

    • รองรับการใช้เมาส์, คีย์บอร์ด, ลากไฟล์ ฯลฯ

  2. ความปลอดภัยระดับสูง

    • ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End (AES 256-bit)

    • มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA)

  3. รองรับหลายอุปกรณ์และหลายระบบ

    • Windows, macOS, Linux, Android, iOS, ChromeOS

    • สามารถควบคุมอุปกรณ์มือถือจากคอมพิวเตอร์ หรือกลับกัน

  4. ฟีเจอร์โอนถ่ายไฟล์ (File Transfer)

    • ส่งไฟล์ระหว่างเครื่องได้โดยตรง สะดวกและรวดเร็ว

  5. ฟังก์ชันประชุมออนไลน์และแชท (Meeting & Chat)

    • ใช้แชร์หน้าจอเพื่อประชุมหรืออบรมออนไลน์

    • รองรับการสนทนาแบบข้อความในตัวแอป

  6. การจัดการอุปกรณ์และกลุ่มงาน (Management Console)

    • เหมาะสำหรับฝ่าย IT ที่ต้องดูแลหลายเครื่อง

    • จัดกลุ่มเครื่อง, ตั้งสิทธิ์การเข้าถึง, ดูประวัติการเชื่อมต่อ


🛠 วิธีการใช้งานเบื้องต้น TeamViewer

ขั้นตอนที่ 1: ดาวน์โหลดและติดตั้ง

  • เข้าเว็บไซต์ https://www.teamviewer.com

  • ดาวน์โหลดเวอร์ชันฟรีสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป หรือ Business สำหรับองค์กร

  • ติดตั้งตามขั้นตอน พร้อมเลือกโหมด “Personal / Non-commercial use” หากใช้ส่วนตัว

ขั้นตอนที่ 2: รับรหัสเชื่อมต่อ

  • เปิด TeamViewer บนคอมพิวเตอร์ปลายทาง (เครื่องที่ต้องการควบคุม)

  • จดหมายเลข “Your ID” และ “Password” ซึ่งจะเปลี่ยนทุกครั้งที่เปิดใหม่เพื่อความปลอดภัย

ขั้นตอนที่ 3: เชื่อมต่อจากเครื่องของคุณ

  • เปิด TeamViewer บนเครื่องของคุณ

  • ใส่ ID และ Password ของเครื่องปลายทางลงในช่อง “Partner ID” → กด Connect

ขั้นตอนที่ 4: ควบคุมหรือโอนไฟล์

  • เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ จะสามารถควบคุม, เปิดไฟล์, ติดตั้งโปรแกรม หรือโอนถ่ายไฟล์ได้ทันที

  • มีเมนูแถบด้านบนให้เลือกคำสั่ง เช่น File Transfer, Remote Control, Reboot, Chat

🔁 เปรียบเทียบ TeamViewer vs AnyDesk vs Chrome Remote Desktop

ในปัจจุบันมีเครื่องมือควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลหลายตัวให้เลือกใช้ โดยเฉพาะ TeamViewer, AnyDesk และ Chrome Remote Desktop ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้ง 3 โปรแกรมมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคลหรือองค์กร

คุณสมบัติหลักTeamViewerAnyDeskChrome Remote Desktop
✅ ใช้งานฟรีส่วนตัว✔️ (จำกัดฟีเจอร์)✔️ (เร็วและเบา)✔️ (ฟรีเต็มฟีเจอร์พื้นฐาน)
💻 รองรับหลายระบบปฏิบัติการ✔️ Windows, macOS, Linux, Android, iOS✔️ Windows, macOS, Linux, Android, iOS✔️ Windows, macOS, Linux, ChromeOS
🔐 ความปลอดภัยระดับสูง (AES 256-bit, 2FA)ปลอดภัยสูง (TLS 1.2, RSA 2048)ใช้บัญชี Google (OAuth + HTTPS)
📁 การโอนไฟล์✔️ มี UI โอนถ่ายไฟล์โดยเฉพาะ✔️ โอนไฟล์รวดเร็วมาก❌ ไม่มี UI โอนถ่าย ต้องลากไฟล์ข้าม
📞 ฟีเจอร์เพิ่มเติมวิดีโอคอล, แชท, เข้าร่วมประชุมแชท, บันทึกหน้าจอไม่มีฟีเจอร์เพิ่มเติม
🌐 ความเร็วการเชื่อมต่อดี (มีการเพิ่ม latency ถ้าเน็ตช้า)เร็วมาก เบาเครื่องปานกลาง (ขึ้นอยู่กับ Chrome/Google ID)
🏢 เหมาะกับการใช้งานแบบไหนองค์กร, ผู้ใช้งานทั่วไปที่เน้นความครบเครื่องงาน support ที่ต้องการความเร็ว, เบาเครื่องผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องการติดตั้งเพิ่ม

✅ ข้อสรุป:

  • TeamViewer เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟีเจอร์ครบ เช่น ควบคุม + ส่งไฟล์ + ประชุมออนไลน์ ใช้ในองค์กร หรือช่วยเหลือทางไกล

  • AnyDesk เด่นเรื่องความเร็วและน้ำหนักเบา ใช้กับเครื่องสเปกต่ำหรือเน็ตไม่แรงได้ดีมาก

  • Chrome Remote Desktop เหมาะกับผู้ที่ใช้ Google Account เป็นหลัก ต้องการควบคุมระยะไกลแบบง่าย ๆ ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม

📥 ดาวน์โหลด TeamViewer, AnyDesk และ Chrome Remote Desktop

เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าได้ใช้โปรแกรมเวอร์ชันล่าสุดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ กรุณาเลือกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการด้านล่าง:

🔹 TeamViewer (ฟรีสำหรับใช้งานส่วนตัว)

🔹 AnyDesk (ฟรีสำหรับใช้งานส่วนตัว)

🔹 Chrome Remote Desktop (ฟรี 100%)



EP4 การสร้างแบบฟอร์มชำระเงินค่าสินค้า

 สำหรับตอนนี้เรา จะมากรองข้อมูลสินค้าตามบิลขายในตะกร้าสินค้า   เงื่อนไขเดียวคือ ถ้าไม่ ชำระเงินสินค้าก็จะปิดการขายของรหัสบิลขายปัจจุบันยังไม่ได้ ถ้าเลือกสินค้าเข้ามาก็จะต่อท้ายไปเรื่อยๆ 555 

ขั้นแรก สร้างตัวกรองข้อมูล

ไปที่แท็บดาต้า คลิกตาราง Sales และสร้างตัวกรอง 

CurrentCartSlice

ฟิลเตอร์ [CheckedOut?] = FALSE


กลับมาที่หน้า UX สร้างมุมมองใหม่ ตั้งชื่อเป็น ตะกร้าสินค้า 

Source เป็น CurrentCartSlice

มุมมองหรือ viewtype เป็นรายละเอียด detail 

สร้าง Action สำหรับยืนยันการชำระเงินสินค้า หรือ checkedOUt ให้เปลี่ยนสถานะจาก FALSE เป็น TRUE


ที่ตาราง cart 

ชื่อ Mark as Checked Out

Set the value of some column 

Chekedout=TRUE



ชื่อ Create Sale Detail from Cart

Add a new row to 

add to : Sales detail 

SalesID

ProductID

Quantity

Price

Amount


ชื่อ Checkout Cart Item

Grouped:exec

Add : Create Sale Detail from Cart

Mark as Checked Out


สร้าง Action ตาราง Sales

ชื่อ Create New Sale

Go to another view

LINKTOFORM(

  "Cart_Form 2",

  "SalesID", CONCATENATE("SO", TEXT(TODAY(), "YYMMDD"), UNIQUEID()),

  "SalesDate", TODAY()

)


ชื่อ Mark Sale as Checked Out

Set the value of some column 

Chekedout=TRUE


ชื่อ Run Checkout on Cart

execu an action an a set of row

table : cart

ref row : SELECT(Cart[CartID], AND([SalesID] = [_THISROW].[SalesID], [CheckedOut?] = FALSE))

ref action : Checkout Cart Item


ชื่อ Full Checkout Process

Group :exec

Add:

run checkout on cart

mark sales as checkout



EP3 | สร้างปุ่ม "หยิบใส่ตะกร้า" พร้อมระบบเตรียมชำระเงิน

คลิก Data เลือกตารางสินค้า product กำหนดชนิดของดาต้า ดังนี่

ProductID  เป็น text   ค่าเริ่มต้น UNIQUEID() และเป็น key หลักของตาราง 

ตาราง Cart 

cartID  เป็น text   ค่าเริ่มต้น UNIQUEID() และเป็น key หลักของตาราง 

SalesID ref ตาราง Sales

ProductID ref ตาราง product 

คอลัมน์ Price   ใส่ [ProductID].[Price]

Amount ใส่ [Quantity]*[Price]


สร้างหน้าตะกร้าสินค้า Cart_frm

ตาราง cart

มุมมอง form


คำสั่ง Action ตารางสินค้า Product 

ชื่อ Create Sales If None

Do this : Add a new row 

table to add to : Sales 

salesID = UNIQUEID() 

CheckedOut? =False

SalesDate = NOW()

อย่าลืมคลิกที่ behavior 

ใส่ค่า

ISBLANK(

  ANY(

    SELECT(

      Sales[SalesID],

      [CheckedOut?] = FALSE

    )

  )

)


คำสั่ง Action ชื่อ Go To Cart Form

ตาราง product

do this : Go to another view

LINKTOFORM(

  "Cart_Form 2",

  "SalesID", ANY(SELECT(sales[SalesID], [CheckedOut?] = FALSE)),

  "ProductID", [ProductID],

  "Quantity", 1

)

สร้างอีก 1 action ชื่อ  Add to card

do this : Group execute a sequence of action 

add สองแอคชั่น ที่สร้างก่อนหน้า 



ทดสอบ action script แล้ว พบว่า salesID ไม่ถูกสร้างในครั้งแรก และส่งค่าไปยังตะกร้าสินค้า 

ตรวจสอบแล้ว ขั้นต้น แนวทางแก้ไข

ไปที่แท็บ Data แล้วสร้าง CurrentCartSlice  ของตารางขาย Sales ใส่ฟิลเตอร์เพื่อกรอง [CheckedOut?] = FALSE


แล้วทดสอบ โค้ดใหม่ พบว่า script สามารถ gen ค่าบิลขายสินค้าให้ตอนหยิบสินค้าลงตะกร้า แล้ว 

สำหรับ ep3 น่าจะจบเท่านี้ก่อน 

"EP2 | ฟอร์มสินค้า + หมวดหมู่ : ตั้งต้นระบบขายใน AppSheet"

 

มาเริ่มต้นระบบขายของเราให้เป็นรูปเป็นร่าง! EP นี้เราจะสอนวิธีสร้างแบบฟอร์มเพิ่มสินค้าอย่างง่ายใน AppSheet พร้อมเทคนิคการแยกหมวดหมู่สินค้า เช่น ขนม, เครื่องดื่ม, ของใช้ และยังสอนวิธีนำเข้าสินค้าตัวอย่างจาก Google Sheets เข้าแอปแบบรวดเร็ว เหมาะกับร้านค้าขนาดเล็กที่อยากเริ่มต้นใช้ Mini POS เป็นของตัวเองในไม่กี่นาที!


🧩  (สรุปโครงสร้าง):

  1. เริ่มจากการสร้างตารางสินค้า ใน Google Sheets

    • Column แนะนำ: ProductID, ProductName, Category, Price, Stock

  2. เพิ่มข้อมูลตัวอย่างลงไป

    • 5–10 รายการ พร้อมใส่หมวดหมู่ เช่น ขนม, เครื่องดื่ม, ของใช้

  3. เชื่อม Google Sheets เข้ากับ AppSheet

    • ตั้งค่า Data Type ให้เหมาะ เช่น Price เป็น Decimal, Stock เป็น Number

  4. สร้างฟอร์มเพิ่มสินค้าใน AppSheet

    • ปรับ UX ให้ดูง่าย ใช้งานสะดวก

    • ใช้ Enum หรือ EnumList สำหรับหมวดหมู่

  5. Preview & ทดสอบการกรอกฟอร์มสินค้า

Mini POS ด้วย AppSheet EP1


1. เตรียม Google Sheets (ฐานข้อมูลเบื้องต้น)

ขั้นแรก ไปที่ Drive ของ gmail ส่วนตัวของเรา
สร้างโฟลเดอร์ขึ้นมาเก็บไฟล์ฐานข้อมูล
New Folder กำหนดชื่อ เป็น Mini Pos V3
และคลิกสร้างตารางงาน New Sheet

ตารางสินค้า product

ProductID ProductName Price StockQty Category ProductImage

ตาราง Sales

SalesID SalesDate CheckedOut?

ตาราง ตะกร้าสินค้า Cart

CartID SalesID ProductID Quantity Price Amount CheckedOut?

ตารางเก็บรายละเอียดการขาย Sales detail

DetailID SalesID ProductID Quantity Price Amount


ขั้นตอนต่อมา



2. นำเข้า Google Sheets เข้า AppSheet



เข้าเว็บ https://www.appsheet.com

ล็อกอินด้วยบัญชี Google ของคุณ

กด Make a new app

เลือก Start with your own data

เลือกไฟล์ Google Sheets ที่เตรียมไว้

AppSheet จะนำเข้าตารางทั้ง 4 มาเป็นตารางในแอป

ตรวจสอบว่าแต่ละตารางถูกตั้งค่า Key column เรียบร้อย (เช่น ProductID เป็น Key ใน Products, CartID ใน Cart)


กด Save
 

3. สรุป



เราได้สร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นสำหรับ Mini POS

พร้อมเพิ่มตาราง Cart เพื่อเก็บข้อมูลสินค้าที่อยู่ในตะกร้าก่อนสั่งซื้อ

นำเข้าข้อมูลทั้งหมดไปยัง AppSheet เรียบร้อย

ตอนต่อไปจะเริ่มสร้างฟอร์มใส่สินค้าในตะกร้า และสร้างหน้าจอตะกร้าสินค้าในแอป